Chiang Rai News
การทดสอบตะกอนในแม่น้ำกกเผยให้เห็นระดับโลหะหนักและสารหนูที่สูง
เชียงราย – ผลตรวจตะกอนดินแม่น้ำกกพบโลหะหนักเกินมาตรฐานหลายชนิด โดยเฉพาะสารหนู เจอทุกจุด ห่วงเข้าห่วงโซ่อาหาร-เสี่ยงอันตรายผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญแนะรัฐเร่งตรวจในสัตว์น้ำอื่น ๆ ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งติดตามต่อเนื่อง
วันที่ 25 เมษายน 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) รายงานผลตรวจตะกอนดินในแม่น้ำกก บริเวณ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และ อ.เมือง จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-1 เมษายน 2568 หลังพบแม่น้ำมีสีขุ่นผิดปกติ เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างตะกอนดิน 6 จุด ตรวจโลหะหนัก 10 ชนิด ได้แก่ สารหนู (As), แคดเมียม (Cd), ทองแดง (Cu), เหล็ก (Fe), ตะกั่ว (Pb), แมงกานีส (Mn), นิกเกิล (Ni), โครเมียม (Cr), สังกะสี (Zn) และปรอท (Hg)
ผลตรวจชี้ว่า สารหนูในตะกอนดินเกินมาตรฐานทั้ง 6 จุด โดยจุดแรกบริเวณชายแดนไทย-พม่า บ้านแก่งตุ๋ม ต.ท่าตอน อ.แม่อาย มีค่าสารหนู 33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม สูงกว่าระดับปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน หากสะสมในปลาและชาวบ้านกินปลาจำนวนมากต่อเนื่อง อาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น อาการชา ปลายมือปลายเท้า หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
จุดที่ 2-6 ค่าสารหนูอยู่ระหว่าง 20-22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เกินเกณฑ์ปกป้องสัตว์หน้าดิน (ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) สภาพนี้อาจกระทบสัตว์หน้าดิน ทำให้ลดจำนวนลง ส่งผลต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ สัตว์น้ำลดลง และชาวบ้านจับสัตว์น้ำได้น้อยลง แต่ยังไม่กระทบสุขภาพคนที่กินสัตว์น้ำ
นิกเกิลพบเกินมาตรฐานที่จุด 6 (สะพานแม่ฟ้าหลวง หน้าศาลากลางเชียงราย) อยู่ที่ 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (มาตรฐานไม่เกิน 23)
โครเมียมเกินมาตรฐาน 2 จุด คือสะพานแม่น้ำกก ต.ดอยฮาง และสะพานแม่ฟ้าหลวง อยู่ที่ 45 และ 60 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (มาตรฐานไม่เกิน 43.4)
มาตรฐานตะกอนดินเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดินคือไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หากเกิน อาจมีผลต่อสัตว์หน้าดินที่เป็นอาหารปลา ส่งผลให้สัตว์หน้าดินและสัตว์น้ำลดลง ชาวบ้านจับสัตว์น้ำได้น้อยลง แต่ยังไม่เป็นอันตรายกับคนที่กินสัตว์น้ำ
ส่วนมาตรฐานไม่ปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน (33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมขึ้นไป) เน้นป้องกันมนุษย์ผ่านห่วงโซ่อาหาร ถ้าเกินอาจสะสมในปลา ถ้ากินปลามากและบ่อยจะเสี่ยงป่วย เช่น อาการชา หรือหัวใจเต้นผิดปกติ
สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยอิสระและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) บอกว่า แร่โลหะเหล่านี้มีในธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อหน้าดินเปิดและกระจาย ถ้าพบโลหะหนักทั้งในน้ำและดิน ต้องดูต่อว่ามีในสัตว์น้ำหรือไม่ เมื่อมีการตรวจพบสารปรอทในปลาก็หมายถึงว่าเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารแล้ว แม้ค่าตรวจยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ไม่ได้แปลว่าปลาจุดอื่นจะปลอดภัย จึงแนะนำให้รัฐรีบตรวจในปลาและคนในพื้นที่
สมพรเพิ่มเติมว่า ตอนนี้รู้แล้วว่าสิ่งแวดล้อมปนเปื้อน ต่อไปต้องตรวจสอบการสะสมในห่วงโซ่อาหารให้มากขึ้น เพื่อเตือนชาวบ้านเรื่องการกินอาหารจากแม่น้ำกก ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการตรวจในหอยหรือพืชอาหารตามลำแม่น้ำ จึงควรเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็ก แม้จะควบคุมสารปนเปื้อนในน้ำได้ แต่ในอาหารธรรมชาติยังไม่มีวิธีบำบัด ยกเว้นให้ชาวบ้านรู้ว่าอะไรควรกินหรือหลีกเลี่ยง
“ควรมีการเฝ้าระวังอย่างจริงจัง แม้จะประกาศงดใช้น้ำ แต่ทางออกที่ดีคือควบคุมต้นทาง รัฐควรหาทางป้องกันเหมืองทองไม่ถูกต้องทันที” สมพรกล่าว
ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ จากคณะวิทยาศาสตร์ฯ ม.ราชภัฏเชียงราย และกรรมการลุ่มน้ำโขง กล่าวว่า สารโลหะหนักที่เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารจะไปถึงผู้บริโภคปลายทางคือคน หากสัตว์หน้าดินหรือแพลงตอนสะสมโลหะหนัก ปลา หรือสัตว์น้ำมากินต่อ สารจะสะสมเพิ่มขึ้น คนที่กินสัตว์น้ำจึงได้รับสารเหล่านี้ด้วย มาตรฐานจึงกำหนดค่าโลหะหนักในน้ำและสัตว์น้ำไม่ให้เกินเกณฑ์
นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่าได้รับรายงานผลตรวจสารโลหะหนักในตะกอนดิน พบว่าสูงกว่ามาตรฐาน สอดคล้องกับผลตรวจในน้ำ ปัจจุบันปริมาณสารตกค้างในเนื้อปลายังอยู่ในระดับปลอดภัย
“ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเก็บตัวอย่างปลาและน้ำจากแม่น้ำกก โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตเทศบาลไปจนถึงปากน้ำกก เพื่อให้ชาวบ้านได้ข้อมูลชัดเจนเรื่องสารปนเปื้อน” นายชรินทร์กล่าว พร้อมเน้นว่าผลการตรวจยังอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง ยังไม่อันตรายต่อสัตว์น้ำ จึงไม่ห้ามประชาชนใช้น้ำ แต่ขอให้ติดตามตรวจสอบต่อเนื่องจนทุกอย่างกลับมาปกติ
กรมควบคุมมลพิษเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจสอบดินแม่น้ำกก หวั่นพบไซยาไนด์จากเหมืองทองคำ
กรมควบคุมมลพิษเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจสอบดินแม่น้ำกก หวั่นพบไซยาไนด์จากเหมืองทองคำ